สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

มะเร็งคอหอยหลังโพรงจมูก

ข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม 2022

ความรู้ทั่วไป

       มะเร็งคอหอยหลังโพรงจมูกหรือ nasopharyngeal cancer เป็นหนึ่งในโรคที่พบบ่อยที่สุดที่มาพบแพทย์รังสีรักษา จากสถิติโรคมะเร็งในประเทศไทยพบผู้ป่วยที่มารับการรักษาประมาณ 1500 คนต่อปี มักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และมีอุบัติการณ์การเกิดโรคในภูมิภาคเอเชียมากกว่าประเทศทางตะวันตกและสหรัฐอเมริกา ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค คือการติดเชื้อไวรัส Epstein-Barr (EBV), การสูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น 
       อาการที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ ได้แก่ คลำได้ก้อนที่คอ, คัดจมูก, น้ำมูกปนเลือด,​หูอื้อ, มองเห็นภาพซ้อน ​แพทย์วินิจฉัยโรคโดยการตัดชิ้นเนื้อบริเวณคอหอยหลังโพรงจมูกหรือต่อมน้ำเหลืองที่คอไปตรวจทางพยาธิวิทยา ตรวจเลือดและเอกซเรย์คอมพิวเตอร์/ภาพเอ็มอาร์/เพ็ทสแกนเพิ่มเติมเพื่อจัดระยะของโรค
       อวัยวะที่มักเกิดการแพร่กระจายไป คือ ตับ, กระดูก, ปอด การกระจายไปต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอถือว่าเป็นระยะลุกลามเฉพาะที่ ไม่ใช่ระยะแพร่กระจาย


หลักการรักษา

       การรักษาโรคมะเร็งคอหอยหลังโพรงจมูกขึ้นกับระยะโรค แบ่งเป็นระยะเริ่มต้น, ระยะลุกลามเฉพาะที่ และระยะแพร่กระจาย นอกจากนี้แพทย์จะพิจารณาสภาพร่างกายและโรคประจำตัวของผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อเลือกการรักษาที่เหมาะสม รังสีรักษาเป็นการรักษาหลักในมะเร็งคอหอยหลังโพรงจมูก เนื่องจากเป็นมะเร็งชนิดที่ตอบสนองดีต่อการฉายรังสี และตำแหน่งของก้อนมะเร็งอยู่ด้านบนของคอหอย อยู่ด้านหลังโพรงจมูก อยู่ด้านหน้าก้านสมองและไขสันหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่ยากต่อการผ่าตัด

  • ระยะเริ่มต้น มักฉายรังสีเพียงอย่างเดียว ส่วนระยะลุกลามเฉพาะที่ หรือมีการกระจายไปต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้างเคียง มักฉายรังสีควบคู่กับการให้ยาเคมีบำบัดตามด้วยการให้ยาเคมีบำบัดเสริม 3 รอบ อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางโรคที่ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่, มีค่ามะเร็งในเลือดสูง แพทย์อาจให้ยาเคมีบำบัดนำ (แทนการให้ยาเคมีบำบัดเสริม) แล้วจึงตามด้วยการฉายรังสีควบคู่กับการให้ยาเคมีบำบัด
  • ระยะแพร่กระจาย: การรักษาหลักจะเป็นการให้ยาเคมีบำบัด หลังจากนั้นแพทย์จะประเมินการตอบสนองต่อการรักษา แล้วอาจให้การรักษาเสริมตามหลังเคมีบำบัด เช่น ฉายรังสีตามอวัยวะต่างๆ ที่มีการแพร่กระจาย แต่หากผู้ป่วยมีอาการของก้อนมะเร็งที่อวัยวะนั้นๆ มาก เช่น ปวดกระดูก, ก้อนมะเร็งกดทับเส้นประสาท ฯลฯ มักเริ่มการรักษาด้วยการฉายรังสีก่อน หรือให้การรักษาเฉพาะที่เช่น ผ่าตัด แล้วจึงให้ยาเคมีบำบัด

รังสีรักษาและยาเคมีบำบัด

  • ก่อนการฉายรังสีแพทย์จะนัดทำการจองการฉายรังสีและทำหน้ากากยึดตรึง เพื่อใช้ทุกวันที่ฉายรังสี ทำให้ศีรษะไม่ขยับ
  • หลังการจำลองการฉายรังสี 1-2 สัปดาห์ จะเริ่มฉายรังสี โดยฉายรังสีจำนวน 33-35 ครั้ง วันจันทร์ถึงศุกร์ วันละ 1 ครั้ง รวมระยะเวลาประมาณ 7 สัปดาห์ ระหว่างฉายรังสีแต่ละครั้งใช้เวลา 5-10 นาที ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกอะไร ไม่เจ็บปวด เพียงนอนนิ่งๆ สวมหน้ากากเพื่อไม่ให้ศีรษะขยับเขยื้่อน นักรังสีการแพทย์จะเป็นผู้เช็คตำแหน่งให้ตรงกับที่แพทย์วางแผนไว้ แล้วฉายรังสี ผู้ป่วยต้องมารพ.ทุกวันระหว่างฉายรังสี โดยปกติมักไม่จำเป็นต้องลางาน เว้นแต่เดินทางมารพ.ไกล อาจจำเป็นต้องหาที่พักใกล้โรงพยาบาล
  • ผู้ป่วยมะเร็งคอหอยหลังโพรงจมูกที่รับการรักษาในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จะได้รับการฉายรังสีด้วยเทคนิคปรับความเข้มหรือ intensity modulated radiation therapy ซึ่งสามารถให้รังสีอย่างแม่นยำไปที่ก้อนมะเร็ง และหลบหลีกอวัยวะใกล้เคียงให้ได้รับรังสีน้อยที่สุด
  • บริเวณที่ฉายรังสีคือก้อนมะเร็งที่คอหอยหลังโพรงจมูก และบริเวณที่เสี่ยงต่อการลุกลาม ซึ่งคือบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่คอ เพราะฉะนั้นแม้ผู้ป่วยจะยังไม่มีต่อมน้ำเหลืองที่คอโต แต่แพทย์ก็ต้องฉายรังสีบริเวณคอเหนือไหปลาร้าทั้งสองด้านด้วย เพื่อป้องกันการลุกลาม
  • ยาเคมีบำบัดควบคู่รังสี อาจให้ทุกสัปดาห์ๆ ละ 1 ครั้ง (รวม 6-7 ครั้ง) หรือให้ทุก 3 สัปดาห์ (รวม 2-3 ครั้ง) ยาเคมีบำบัดควบคู่รังสีที่ใช้บ่อย ได้แก่ ซิสพลาติน (cisplatin), คาร์โบพลาติน (carboplatin)
  • ยาเคมีบำบัดนำ หรือยาเคมีบำบัดเสริม มักให้ทุก 3-4 สัปดาห์/รอบ รวมทั้งหมด 3 รอบ ยาเคมีบำบัดที่ใช้บ่อย ได้แก่ 
  1. ซิสพลาติน(หรือคาร์โบพลาติน)/ไฟว์เอฟยู (cisplatin(or carboplatin)/5-FU)
  2. ซิสพลาติน(หรือคาร์โบพลาติน)/เจ็มไซตาบีน (cisplatin(carboplatin)/gemcitabine)
  3. โดซิแทคเซล/ซิสพลาติน/ไฟว์เอฟยู (docetaxel/cisplatin/5-FU) เป็นต้น
  • กรณีฉายรังสีตามอวัยวะต่างๆ ที่มีการแพร่กระจายสามารถทำได้หลายแบบ ทั้งการฉายรังสีแบบ 2 มิติ,​3 มิติ, แบบปรับความเข้ม และการฉายรังสีศัลยกรรม (stereotactic body radiation therapy (SBRT)) โดยมักฉายตั้งแต่ 1-10 ครั้ง ในผู้ป่วยบางรายที่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดดีมาก แพทย์อาจให้การรักษาที่เข้มข้นขึ้นโดยฉายรังสีบริเวณคอหอยหลังโพรงจมูกร่วมด้วยจำนวน 33-35 ครั้ง

ผลข้างเคียง

ขณะฉายรังสี 7 สัปดาห์อาจพบอาการข้างเคียงได้ แบ่งเป็นรายสัปดาห์ดังอธิบายด้านล่าง หากผู้ป่วยได้รับยาเคมีบำบัดควบคู่อาจมีผลข้างเคียงมากขึ้น เช่น คลื่นไส้อาเจียน การทำงานของไตลดลง

  • สัปดาห์ที่ 1-2 ผู้ป่วยมักเบื่ออาหารมากขึ้น ลิ้นรับรสได้แย่ลงหรือเปลี่ยนไป เช่นดื่มน้ำแล้วมีรสขมปากหรือเปรี้ยวเป็นต้น มักจะยังไม่มีอาการเจ็บปาก แต่น้ำลายจะเริ่มลดลง
  • สัปดาห์ที่ 3-4 เริ่มมีอาการเจ็บปาก เจ็บคอเวลากลืน น้ำลายแห้งเหนียว เริ่มมีแผลในปาก ผิวหนังคันและแห้ง
  • สัปดาห์ที่ 5-7 อาการข้างเคียงจะเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยมักจะอ่อนเพลีย เจ็บปากและกลืนเจ็บมากขึ้น น้ำหนักมักจะลดมาแล้วประมาณ 5 กิโลกรัม ทานอาหารได้น้อย ผิวหนังแดง แสบ คัน สีผิวคล้ำขึ้น ท้องผูก ในช่วงนี้แพทย์อาจแนะนำให้ใส่สายให้อาหารทางจมูกชั่วคราวเพื่อเพิ่มโภชนาการ ในผู้ป่วยที่น้ำหนักลดมากหรือทานอาหารทางปากไม่ได้เลย
  • แพทย์จะนัดตรวจทุกสัปดาห์ระหว่างการฉายรังสี ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจเลือด และตรวจอาการ ตลอดจนประเมินสภาพร่างกายและการตอบสนองต่อการรักษา แพทย์จะให้ยาแก้เจ็บปวดและยาบรรเทาอาการข้างเคียงดังที่กล่าวมา
  • การฉายรังสีให้ครบอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการควบคุมโรค ดังนั้นผู้ป่วยไม่ควรหยุดการฉายรังสีกลางคันหากไม่จำเป็น

ผลข้างเคียงระยะยาว อาจเกิดได้ตั้งแต่ 6 เดือนถึงมากกว่า 5 ปีหลังฉายรังสี เช่น ภาวะฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ต่ำ กรามติด พังผืดบริเวณคอ การได้ยินลดลง ความผิดปกติของการกลืนและเส้นประสาทสมอง เป็นต้น


การดูแลตนเอง

       ขณะฉายรังสี แนะนำให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราในช่องปาก ล้างโพรงจมูกเช้าเย็นเป็นอย่างน้อย แนะนำให้ทานอาหารโปรตีนสูงเช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ขาว พยายามอย่าให้น้ำหนักลดเกินสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัม ในช่วงที่เจ็บปากมากขึ้นควรใช้ยาแก้ปวดตามแพทย์สั่งและเสริมอาหารที่มีพลังงานสูง เช่น อาหารหรือนมทางการแพทย์ ไอศครีม, หากมีอาหารแสบ คัน ผิวคล้ำขึ้นแนะนำให้ทาโลชั่นบำรุงผิว ชนิดให้ความชุ่มชื้น และไม่ควรมีส่วนประกอบของน้ำหอม
       ภายหลังการฉายรังสีครบประมาณ 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะค่อยๆฟื้นฟูสภาพร่างกาย อาการเจ็บปากจะลง จะทานอาหารได้มากขึ้น แผลในปากจะค่อยๆ หายไป แนะนำให้ล้างโพรงจมูกด้วยน้ำเกลือเช้า-เย็นไปเรื่อยๆ เริ่มออกกำลังกายได้ ไปเที่ยวที่ชุมชนได้ เม็ดเลือดขาวจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ควรทานอาหารที่มีโปรตีนสูงต่อเนื่อง ในระยะยาวควรกายบริหารกรามและลำคอเพื่อลดอาการยึดจากพังผืด และพบทันตแพทย์ปีละ 1-2 ครั้งเพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน


การตรวจติดตาม

      แพทย์จะนัดตรวจติดตามการรักษาเป็นระยะ มักนัดตรวจทุก 3-4 เดือนในช่วง 3 ปีแรก และทุก 6 เดือนในปีที่ 3-5เมื่อพ้น 5 ปี ไปแล้วมักจะนัดติดตามปีละครั้ง การตรวจติดตามผลมีเป้าหมายเพื่อดูว่ามีมะเร็งกำเริบหรือไม่ และตรวจดูการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ซึ่งมักจะเกิดการแพร่กระจายในปีแรกๆ หลังการรักษา รวมถึงการเฝ้าระวังผลข้างเคียงระยะยาว แพทย์จะใช้การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ภาพเอ็มอาร์ การเจาะเลือด เพื่อติดตามสุขภาพของผู้ป่วย